ทำไมต้องใช้ PPE : มีความสำคัญอย่างไรในการใช้งาน?
PPE (Personal Protective Equipment) หรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยปกป้องร่างกายของผู้ใช้งานจากอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน เช่น อันตรายจากสารเคมี ความร้อน แรงกระแทก ฝุ่นละออง เสียงดัง หรือแม้แต่การติดเชื้อ การใช้ PPE จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
1. การป้องกันความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ในหลายสภาพแวดล้อมการทำงานจะมีการปรับปรุงมาตรการป้องกันต่างๆ เช่น การควบคุมวิศวกรรม การทำงานอย่างปลอดภัย การปิดกั้นหรือการติดตั้งเครื่องมือที่ลดความเสี่ยง แต่บางสถานการณ์ก็ยังไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด เช่น การทำงานในสถานที่สูง งานที่เกี่ยวกับสารเคมีอันตราย หรืองานในพื้นที่อับอากาศ ดังนั้น PPE จึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายเพิ่มเติม
2. ลดการบาดเจ็บและป้องกันการเสียชีวิต
PPE มีบทบาทสำคัญในการลดการบาดเจ็บและป้องกันการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในที่ทำงาน ตัวอย่างเช่น หมวกนิรภัยช่วยป้องกันแรงกระแทก, ถุงมือป้องกันการถูกบาดหรือสัมผัสสารเคมี, หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองหรือสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ สิ่งเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อร่างกายของผู้ใช้งาน
3. การปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย
การใช้ PPE เป็นหนึ่งในมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้ในหลายอุตสาหกรรมและสถานประกอบการ นอกจากจะเป็นการป้องกันตนเองแล้ว การใช้ PPE ยังเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่กฎหมายบังคับใช้ ทำให้เกิดความมั่นใจทั้งต่อผู้ปฏิบัติงานและผู้ว่าจ้างว่าสถานที่ทำงานมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
กฎหมายข้อไหนบังคับบ้าง สำหรับงานอะไรที่กฎหมายบังคับต้องใช้ PPE
ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มีข้อกำหนดทางกฎหมายที่บังคับให้ใช้อุปกรณ์ PPE ในสถานที่ทำงานเพื่อป้องกันอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน ข้อกำหนดเหล่านี้ถูกกำกับโดยกฎหมายแรงงานและมาตรฐานความปลอดภัยหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน และประกาศของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
1. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
กฎหมายนี้กำหนดให้นายจ้างต้องจัดหาอุปกรณ์ PPE ให้กับลูกจ้างในกรณีที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดอันตราย เช่น สารเคมี, แรงกระแทก, ฝุ่นละออง, เสียงดัง, ความร้อน หรือความเย็นเกินกว่ากำหนด
2. กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
-
- ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกำหนดมาตรฐานการใช้อุปกรณ์ PPE ในสถานที่ทำงาน เช่น ในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง การทำเหมืองแร่ และงานที่เกี่ยวกับการขนส่ง
- ข้อบังคับว่าด้วยความปลอดภัยในการใช้สารเคมีอันตราย กำหนดให้นายจ้างต้องจัดหาอุปกรณ์ PPE ที่เหมาะสม เช่น หน้ากากป้องกันสารเคมีและถุงมือป้องกันสารพิษ สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตราย
- ข้อบังคับด้านการทำงานในพื้นที่อับอากาศ งานในพื้นที่อับอากาศ เช่น ท่อระบายน้ำ บ่อน้ำ หรือพื้นที่ที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำ กฎหมายกำหนดให้ต้องใช้อุปกรณ์เช่น SCBA (Self-Contained Breathing Apparatus) หรือระบบช่วยหายใจเพื่อป้องกันการขาดออกซิเจนหรือการสัมผัสกับก๊าซพิษ
3. งานประเภทใดที่กฎหมายบังคับให้ใช้ PPE
-
- งานก่อสร้าง : ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ (หมวกนิรภัย), รองเท้าเซฟตี้, แว่นตานิรภัย และถุงมือป้องกัน
- งานอุตสาหกรรมเคมี : หน้ากากกรองอากาศหรือหน้ากากป้องกันสารเคมี, ถุงมือกันสารเคมี, แว่นตาหรือหน้ากากป้องกันใบหน้า
- งานเชื่อมโลหะ : หมวกเชื่อม, ถุงมือกันความร้อน, และชุดป้องกันประกายไฟ
- งานที่อับอากาศ : SCBA หรือหน้ากากกรองอากาศ, ระบบช่วยหายใจ
การใช้งานและการเลือกซื้ออุปกรณ์ PPE เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลที่เข้าถึงง่ายสำหรับลูกค้า
1. การเลือก PPE ที่เหมาะสม
ในการเลือกซื้อ PPE สำหรับการทำงาน สิ่งสำคัญคือการเลือกให้เหมาะสมกับประเภทงานและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งขั้นตอนการเลือก PPE ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
-
- ประเภทอันตรายที่ต้องป้องกัน : ตรวจสอบว่าอันตรายจากงานคืออะไร เช่น อันตรายจากแรงกระแทก สารเคมี ความร้อน หรืออันตรายทางกายภาพอื่นๆ เพื่อเลือก PPE ที่ป้องกันได้อย่างเหมาะสม
- มาตรฐานความปลอดภัย : ควรเลือก PPE ที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มาตรฐาน ANSI, OSHA, CE หรือมาตรฐานอื่นๆ ที่สอดคล้องกับประเภทของงาน
- ขนาดและความสะดวกสบาย : PPE ควรมีขนาดที่เหมาะสมกับผู้สวมใส่ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ประเภทของ PPE ที่ต้องใช้ตามงาน
-
- อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ : หมวกนิรภัยป้องกันการกระแทกจากของหนักที่อาจตกจากที่สูง เหมาะสำหรับงานก่อสร้างและงานในอุตสาหกรรมต่างๆ
- อุปกรณ์ป้องกันดวงตาและใบหน้า : เช่น แว่นตานิรภัยหรือหน้ากากป้องกันหน้า เหมาะสำหรับงานที่มีฝุ่นละอองหรือสารเคมี
- อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ : หน้ากากกรองอากาศ หรือ SCBA เหมาะสำหรับงานในที่ที่มีสารพิษหรือพื้นที่อับอากาศ
- อุปกรณ์ป้องกันมือ : ถุงมือชนิดต่างๆ เช่น ถุงมือยาง, ถุงมือป้องกันสารเคมี หรือถุงมือกันความร้อน
- อุปกรณ์ป้องกันเท้า : รองเท้าเซฟตี้ที่ป้องกันการกระแทก เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง งานโรงงาน และงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรหนัก
- อุปกรณ์ป้องกันร่างกาย : ชุดป้องกันความร้อน ชุดป้องกันสารเคมี หรือชุดป้องกันประกายไฟตามลักษณะของงาน
3. การบำรุงรักษา PPE
การบำรุงรักษา PPE เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยควรมีการตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ก่อนและหลังการใช้งาน หากพบความเสียหายหรือสภาพการใช้งานที่เสื่อมสภาพควรเปลี่ยนทันที
-
- การทำความสะอาด : PPE บางประเภท เช่น ถุงมือหรือชุดป้องกันสารเคมี ควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอหลังการใช้งานตามคำแนะนำจากผู้ผลิต
- การเก็บรักษา : เก็บ PPE ในที่แห้งและห่างจากแสงแดดหรือสารเคมีที่อาจทำให้อุปกรณ์เสื่อมสภาพ
4. การจัดหา PPE ที่คุ้มค่า
เมื่อเลือกซื้อ PPE ควรพิจารณาความคุ้มค่าในแง่ของคุณภาพและความทนทาน เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและใช้งานได้นาน การเลือกซื้อจากผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับการรับรองและมีชื่อเสียงจะช่วยให้มั่นใจในคุณภาพของอุปกรณ์
การเลือกซื้ออุปกรณ์ PPE สามารถทำได้จากแหล่งต่างๆ ทั้งทางออนไลน์และร้านค้าที่จำหน่ายอุปกรณ์นิรภัยเฉพาะทาง โดยตัวอย่างแหล่งซื้อมีดังนี้
- ร้านค้าอุปกรณ์นิรภัยเฉพาะทาง
- ร้านค้าเหล่านี้จะมีอุปกรณ์ PPE หลากหลายชนิด ตั้งแต่หมวกนิรภัย ถุงมือ รองเท้าเซฟตี้ ไปจนถึงหน้ากากกรองอากาศ เช่น ร้านไฮไทย, ร้าน BKK Safety,ร้านไทเวิร์คเซฟ
- ร้านอุปกรณ์ก่อสร้างและฮาร์ดแวร์
- เช่น โฮมโปร, ไทวัสดุ, โกลบอลเฮ้าส์ มีสินค้ากลุ่ม PPE สำหรับงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมทั่วไป เช่น หมวกนิรภัย รองเท้านิรภัย ถุงมือ และอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ
- ห้างสรรพสินค้าและร้านเครื่องมือช่าง
- ร้านค้าชั้นนำอย่าง Makro หรือ Lazada Mall ที่มีร้านค้าในเครือข่ายที่จัดจำหน่าย PPE รวมถึงเครื่องมือช่างและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย
- เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
- เช่น Lazada, Shopee, JD Central เป็นแหล่งซื้อออนไลน์ที่สะดวก โดยมีร้านค้าหลายแห่งที่ขายอุปกรณ์ PPE ที่มีการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย
- ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ความปลอดภัยและอุตสาหกรรม
- บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่าง 3M Thailand, Ansell, MSA Safety ที่เป็นแบรนด์ที่เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ PPE โดยตรง
การเลือกซื้อควรตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มาตรฐาน ANSI หรือ CE และควรเลือกแหล่งที่น่าเชื่อถือเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์มีคุณภาพสูงและปลอดภัยในการใช้งาน